แหล่งน้ำที่นำมาใช้การเลี้ยงปลาทอง
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญมากในการเลี้ยงปลา เพราะมีผลต่อปลาโดยตรง เช่น คุณภาพน้ำที่
เหมาะสมจะทำให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว ปลาไม่เกิดความเครียด สุขภาพดี แข็งแรงมีความต้านทานต่อ
โรคได้ดี น้ำที่ใช้ในการเพาะเลี้ยงที่ได้จากแหล่งต่าง ๆย่อมมีคุณสมบัติต่างกัน ดังนั้นการเลือกสถานที่
ในการทำฟาร์ม ก็ควรคำนึงถึงแหล่งน้ำและคุณสมบัติน้ำเป็นปัจจัยต้น ๆ
น้ำที่ใช้การเลี้ยงปลาทอง สามารถนำมาจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้
น้ำที่ได้จากลำคลอง หนอง บึง จะมีตะกอนดินและแร่ธาตุจากดิน และหินละลายในน้ำ
รวมทั้งจุลินทรีย์และปรสิตปะปนมาควรนำน้ำจากแหล่งนี้ไปปรับปรุงคุณภาพก่อนนำไปเลี้ยงปลา
โดยใส่น้ำในบ่อพักเติมปูนขาว เพื่อช่วยในการตกตะกอนให้เร็วขึ้น ฆ่าเชื้อโรคและปรับความเป็น
กรด- ด่าง (pH) พักน้ำไว้ประมาณ 1 - 2 วัน ก็จะสามารถสูบน้ำไปใช้ได้

น้ำบาดาล เป็นน้ำที่สูบจากใต้ดิน มีแร่ธาตุละลายปนมา เช่น สนิมเหล็ก น้ำจะมีกลิ่นแร่ธาตุ
กลิ่นโคลนและมีปริมาณออกซิเจนต่ำซึ่งแก้ไขโดยนำน้ำมาพักทิ้งไว้เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ
น้ำบาดาลที่ได้จากแหล่งน้ำใต้ดินที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงปลา จัดเป็นแหล่งน้ำที่ดีเพราะ
มีเชื้อโรคปนเปื้อนต่ำและสามารถใช้ได้ตลอดฤดูกาล
น้ำประปา น้ำประปาเป็นน้ำที่สะอาดและมีคุณสมบัติเหมาะสมนำมาใช้เลี้ยงสัตว์น้ำได้ดี เนื่องจากน้ำ
ประปาผ่านการบำบัดและการกรองหลายขั้นตอน ปราศจากเชื้อโรค แต่มีราคาแพงและมีปัญหาเรื่อง
ปริมาณคลอรีนที่หลงเหลืออยู่ในน้ำ ซึ่งวิธีการกำจัดคลอรีนสามารถดำเนินการได้ดังนี้
- พักน้ำไว้ 2-3 วันหรือพักไว้ในที่แจ้งตากแดดตลอดเวลา 24 ชั่วโมงคลอรีนจะแตกตัวระเหยไปกับ
อากาศ
- ใช้กรองด้วยถ่านคาร์บอน (Ativated carbon)
- ถ้าต้องการใช้น้ำเลี้ยงปลาทันที สามารถเติมโซเดียม ไธโอซัลเฟต อัตรา 1 เกล็ดต่อน้ำ 5 ลิตร

การเลี้ยงปลาทอง
การเลี้ยงปลาทองให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมีการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาให้มีไข่และน้ำเชื้อ
สมบูรณ์ การจัดเตรียมบ่อและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเลี้ยงปลาทอง มีขั้นตอนในการผสมพันธุ์
การฟักไข่และอนุบาลลูกปลา ฯลฯ ซึ่งจะได้กล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
การคัดเลือกสถานที่เพื่อเลี้ยงปลาทอง
การเลี้ยงปลาทองจะต้องหาทำเลที่เหมาะสม โดยยึดหลักเกณฑ์ดังนี้
+ ไม่เป็นที่อับแสงแดด หรือมีแสงแดดมากเกินไป เพราะถ้าเป็นที่อับอากาศ หรืออับแสงจะทำให้ปลา
สีซีดไม่แข็งแรง และหากแสงมากเกินไป จะมีผลในการดูแลความสะอาดเพราะน้ำเขียวเร็ว เนื่องจาก
แสงแดดทำให้ตะไคร่น้ำเติบโตเร็ว หากบ่ออยู่ในที่โล่งแจ้งควรใช้ตาข่ายกรองแสงสว่างประมาณ 60%
+ ไม่สมควรอยู่ใกล้แหล่งสารเคมีที่มีพิษ
โดยเฉพาะถ้าใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่ไหลผ่านโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการปนเปื้อนสารพิษคุณภาพ
น้ำที่ใช้เลี้ยงจะมีการเปลี่ยนแปลงมากในรอบปี สำหรับหน้าแล้งอาจเกิดสภาวะขาดน้ำ หรือน้ำเสียจาก
โรงงานเป็นอันตรายต่อชีวิตสัตว์น้ำได้
+ ไม่เป็นที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมหรือเสียงรบกวน ทำให้ปลาตกใจเป็นประจำ จะส่งผลถึงการกิน
อาหารของปลา และการเคลื่อนไหวร่างกายอาจผิดปกติได้
+ บ่อไม่สมควรอยู่ตรงชายคาที่มีน้ำตกพอดี เพราะน้ำฝนที่มี่คุณสมบัติเป็นกรดจะทำให้น้ำในบ่อเลี้ยงปลา
มีคุณสมบัติเปลี่ยนไป มีผลให้ปลาอ่อนแอติดโรคได้ง่าย
+ ไม่เป็นที่ที่มีศัตรูของปลาหรือมีใบไม้ร่วง เป็นสาเหตุให้น้ำเน่าหากมีศัตรูปลา เช่น นกหรือแมว ควร
จะหาวัสดุป้องกัน เช่น ตาข่ายกั้นรอบบริเวณที่เพาะเลี้ยง
+ ควรเป็นสถานที่ที่มีที่กำบังลมและแสงแดด เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกระทันหัน โดยเฉพาะ
ในฤดูหนาว
+ ควรสร้างบ่อให้มีความลาดเอียง เพื่อให้สะดวกต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำโดยสามารถระบายน้ำได้หมด
ทั้งยังสะดวกในการทำความสะอาด ตากบ่อ และการกำจัดเชื้อโรค
+ สร้างระบบน้ำ โดยมีท่อน้ำเข้า ท่อระบายน้ำออก ระบบเพิ่มอากาศที่มีประสิทธิภาพและมีอุปกรณ์สำรอง
เพื่อป้องกันภาวะฉุกเฉินกรณีไฟฟ้าดับ
+ ควรกำจัดพาหะที่อาจนำโรคมาสู่ปลา พาหะที่สามารถมองเห็นได้จากบริเวณสถานที่เลี้ยง เช่น คางคก
หรือลูกหอยตัวเล็ก ๆ

ปลาทองสายพันธุ์ต่าง ๆๆ
    ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ปลาทองมีความหลากหลายในสายพันธุ์ทำให้เป็นที่ต้องการของนักเลี้ยงปลาทั้ง
ในประเทศไทยและนอกประเทศ ปัจจุบันมีสายพันธุ์ปลาทองเยอะกว่า 100 สายพันธุ์ การตั้งชื่อปลาทองแต่
ละสายพันธุ์นั้นจะตั้งชื่อตามลักษณะลำตัวและลักษณะครีบ ซึ่งเราสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2
กลุ่มดังนี้
พวกที่มีลำตัวแบนยาว (Flat body type) ปลาในกลุ่มนี้ส่วนมาก มีลำตัวแบนข้างและมีครีบหาง
เดี่ยว ยกเว้นปลาทองวากิงซึ่งมีครีบหางคู่ ปลาในกลุ่มนี้จะว่ายน้ำได้ปราดเปรียวและรวดเร็วมาก เลี้ยงง่าย
ทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีความแข็งแรงมากที่สุดในบรรดากลุ่มปลาทองทั้งหมด เจริญเติบโตเร็ว
เหมาะที่จะเลี้ยงในบ่อ สายพันธุ์ที่ต้องการเลี้ยงได้แก่
+ การเลี้ยงปลาทองธรรมดา (Common goldfish) มีลักษณะเหมือนปลาทองที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติ
มีสีส้ม เขียว ทอง และขาว มีจุดหรือลายสีดำ ลำตัวค่อนข้างยาว และแบนข้าง
+ การเลี้ยงปลาทองโคเมท (Comet goldfish) ปลาทองชนิดนี้พัฒนามาจาก Common goldfish มี
ครีบยาวเรียวออกไป โดยเฉพาะครีบหาง ซึ่งอาจจะมีความยาวเยอะกว่า เศษสามส่วนสี่ หรือหนึ่งเท่า
ของความยาวลำตัวทำให้ว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก เป็นปลาที่เลี้ยงง่าย ลำตัวมีสีส้ม ขาวเงิน และเหลือง เป็น
ปลาที่ได้รับความต้องการมากในสหรัฐอเมริกา
+ การเลี้ยงปลาทองชูบุงกิง (Shubunkin) ปลาทองสายพันธุ์นี้คัดพันธุ์ได้ที่ประเทศญี่ปุ่น มีลำตัวเรียวยาว
คล้ายการเลี้ยงปลาทองธรรมดา แต่มีครีบทุกครีบยาวใหญ่สมบูรณ์กว่าปลาทองพันธุ์ธรรมดามาก ปลายครีบ
หางมนกลม ลำตัวอาจมีสีแดง ส้ม ขาว ขาวและแดง หรืออาจมีหลายสี มี 2 สายพันธุ์ คือ london
shubunkin และ Bristol shubunkin สายพันธุ์ Bristol shubunkin จะมีครีบหางใหญ่กว่า
ชนิด London shubunkin
+ ปลาทองวากิง (Wakin) ปลาทองพันธุ์นี้คัดพันธุ์ได้ที่ประเทศจีน ลำตัวมีสีแดงสดใส และสีขาว
สายพันธุ์นี้จัดอยู่ในกลุ่มที่มีลำตัวแบนยาวแต่มีครีบหางเป็นคู่
พวกที่มีลำตัวกลมหรือรูปไข่   (Round หรือ egg-shaped body type)   ปลาในกลุ่มนี้มี
จำนวนมากแบ่งเป็นหลายสายพันธุ์ มีลักษณะครีบ หัวและนัยน์ตาที่แตกต่างกันหลากหลาย ซึ่งสามารถ
แบ่งเป็นกลุ่มย่อยได้ 2 กลุ่ม โดยพิจารณาจากลักษณะครีบดังนี้
      * พวกที่มีครีบหลัง มีลำตัวสั้น มีครีบยาวและครีบหางเป็นคู่ เช่น
    + ปลาทองริวกิ้น (Ryukin)
    เป็นปลาที่ต้องการเลี้ยงกันแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและนอกประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น
เนื่องจากเป็นปลาที่มีรูปร่างและสีสันสวยงาม มีท่วงท่าการว่ายน้ำที่สง่างาม ลักษณะเด่น คือ ลำตัว
ด้านข้างกว้างและสั้น ส่วนท้องอ้วนกลม มองจากด้านหน้าโหนกหลังสูงขึ้นมากทำให้ส่วนหัวแลดูเล็ก
ครีบหลังใหญ่ยาวและตั้งขึ้น ครีบหาง เว้าลึกยาวเป็นพวง ทำให้มีชื่อเรียกต่าง ๆๆ กันอีกหลายชื่อ เช่น
Veiltail และ fantail เป็นต้น เกล็ดหนา สีที่พบมากมีทั้งสีแดง ขาว ขาว-แดง และส้ม หรือมีห้าสี
คือ แดง ส้ม ดำ ขาว ฟ้า ซึ่งในบ้าน เราต้องการเรียกว่า ริวกิ้นห้าสี
    + ปลาทองออแรนดา (Oranda)
     ปลาพันธุ์นี้เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างพันธุ์หัวสิงห์และพันธุ์ริวกิ้น อาจเรียกว่า Fantail lion
head ปลาทองพันธุ์ออแรนดา (Oranda) จะมีลักษณะลำตัวค่อนข้างยาวกว่าปลาทองพันธุ์หัวสิงห์
และริวกิ้น ลำตัวคล้ายรูปไข่หรือรูปรี ส่วนท้องไม่ป่องมาก ครีบทุกครีบยาวใหญ่โดยเฉพาะครีบหาง
จะยาวแผ่ห้อยสวยงามมาก ปลาทองพันธุ์นี้แบ่งเป็นพันธุ์ย่อย ๆ  ได้อีก     ตามลักษณะหัวและสีได้แก่

+ ออแรนดาธรรมดา มีลำตัวค่อนข้างยาวรี หัวไม่มีวุ้น ครีบทุกครีบยาวมาก
+ ออแรนดาหัววุ้น ลำตัวและหางไม่ยาวเท่าออแรนดาธรรมดา แต่บริเวณหัวจะมีวุ้นคลุมอยู่คล้ายกับ
หัวปลาทองพันธุ์หัวสิงห์แต่วุ้นจะไม่ปกคลุมส่วนของหัวทั้งหมด จะมีวุ้นเฉพาะตรงกลางของส่วน
หัวเท่านั้น และวุ้นที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อมองจากด้านบน
+ ออแรนดาหัวแดง (Red cap oranda) คือ ออแรนดาหัววุ้นนั่นเองแต่จะมีวุ้นบนหัวเป็นสีแดง
และลำตัวมีสีขาวภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ตันโจ มีลักษณะลำตัวสีขาวเงิน วุ้นบนหัวเป็นก้อนกลมสีแดง
คล้ายปลาสวมหมวกสีแดง
+ ออแรนดาห้าสี (Calico oranda) ลักษณะเหมือนออแรนดาหัววุ้นทั่วไป แต่มีสีลำตัว 5 สี คือ
ฟ้า ดำ ขาว แดง ส้ม
+ ออแรนดาหางพวง (Vailtail) ลักษณะครีบหางจะยาวเป็นพวง ครีบหลังพริ้วยาว ที่หัวมีวุ้นน้อย
หรือไม่มีเลย ส่วนของลำตัวใหญ่สั้น ท้องกลม แต่ส่วนหลังแบนข้างเล็กน้อย บริเวณโหนกหลังสูงชัน
มาก ทำให้ส่วนหัวดูแหลมเล็ก ครีบหลังใหญ่ยาวและตั้งสูง ครีบหางเว้าลึกเป็นพวง
    + ปลาทองเกล็ดแก้ว (Pearl scales goldfish)
     ปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว มีลำตัวอ้วนกลมสั้น ส่วนท้องป่องออกมาทั้ง 2 ด้าน เมื่อมอง
ด้านบนจะเห็นเป็นรูปทรงกลม หัวมีขนาดเล็ก ปากแหลม มีลักษณะเด่นที่เกล็ดคือ เกล็ดหนามาก และ
นูนขึ้นมาเห็นเป็นเม็ดกลม ๆ ซึ่งเกิดจากเกล็ดที่มีสารพวกกัวอานิน (guanine) มากนั่นเอง ลักษณะ
เกล็ดที่ดีต้องขึ้นครบนูนสม่ำเสมอและเรียงกันอย่างมีระเบียบ ครีบทุกครีบรวมทั้งหางสั้นและต้อง
กางแผ่ออกไม่หุบเข้าหรืองอ สีที่ต้องการได้แก่ สีแดง ส้ม เหลือง ดำ ขาว ขาวแดง ปลาชนิดนี้เลี้ยงยาก
ปลาทองเกล็ดแก้วที่ต้องการเลี้ยงในประเทศไทยมี 3 สายพันธุ์ ได้แก่ เกล็ดแก้ว หัวมงกุฎ เกล็ดแก้วหน้า
หนู และเกล็ดแก้วหัววุ้น
     + ปลาทองตาโปน (Telescope eyes goldfish)
      มีลักษณะลำตัวสั้น   และส่วนท้องกลมคล้าย ๆ กับพันธุ์ริวกิ้น มีลักษณะเด่นที่ตาทั้งสองข้าง
โดยตาจะยื่นโปนออกมาด้านข้างเห็นได้เด่นชัด     ถือกันว่าตายิ่งโปนมากยิ่งเป็นลักษณะที่ดี และ
เมื่อมองจากด้านบนจะต้องมีลักษณะกลมยื่นออกมาเท่ากันทั้งตาซ้ายและตาขวา ครีบทุกครีบและ
หางจะต้องแผ่กว้าง ปลายไม่หุบเข้า หรืองอไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ครีบที่เป็นครีบคู่จะต้องเท่ากัน
และชี้ไปในทิศทางเดียวกัน (ขนานกัน) ปลาทองพันธุ์นี้ยังแบ่งออกเป็นพันธุ์ย่อย ๆ ได้อีกตามลักษณะ
สีบนลำตัวและครีบ ได้แก่
+ ปลาทองตาโปนสีแดง หรือขาวแดง (Red telescope-eyes goldfish) ลำตัวและครีบจะ
ต้องมีสีแดงเข้ม หรืออาจมีสีขาวสลับสีแดง และสีขาวจะต้องขาวบริสุทธิ์ไม่อมเหลือง จึงจะถือว่าเป็น
ลักษณะที่ดี
+ ปลาทองตาโปน 3 สี หรือ 5 สี (Calico telescope-eyes goldfish)   ลำตัวและครีบมีหลาย
สีในปลาตัวเดียวกัน
    + ปลาทองพันธุ์เล่ห์ (Black telescope-eyes goldfish หรือ Black moor) ซึ่งได้แก่
ปลาทองที่เรียกว่า รักเล่ห์ หรือเล่ห์นั่นเอง ลักษณะที่ดีของปลาพันธุ์นี้คือ ลำตัวและครีบจะต้องดำสนิท
และไม่เปลี่ยนสีไปจนตลอดชีวิต
    + ปลาทองแพนด้า (Panda)
    ปลาทองสายพันธุ์นี้ต้องการมากในประเทศจีน เป็นปลาทองพันธุ์เล่ห์ที่ได้มีการลอกสีที่ลำตัวจนกลาย
เป็นสีขาวหรือสีเงิน ส่วนครีบต่าง ๆๆ จะมีสีดำมีลักษณะคล้ายหมีแพนด้า ซึ่งสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะ
ไม่คงที่เพราะมีการลอกสีไปเรื่อย ๆ
    + ปลาทองปอมปอน (Pompon)
    ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ได้ มีลักษณะลำตัวสั้น มองจากด้านบนจะมีลักษณะเป็น
รูปสี่เหลี่ยมคล้ายปลาทองหัวสิงห์แต่แตกต่างกันตรงส่วนหัว โดยผนังกั้นจมูกของปลาทองปอมปอน
จะขยายเจริญเติบโตออกมาข้างนอกเป็นพู่ 2 ข้างทำให้แลดูแปลกตาออกไป มีช่วงลำตัวยาวและเพรียว
กว่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่น ๆ      ปลาทองปอมปอนที่ต้องการมากที่สุดคือพันธุ์สีแดงไม่มีครีบหลัง
สายพันธุ์ปอมปอนแบ่งออกเป็นปอมปอนหัวสิงห์ ปอมปอนออแรนดา ปลาทองสายพันธุ์นี้บ้านเราไม่ค่อย
ได้รับความต้องการแพร่หลายมากเท่าใดนัก       สาเหตุอาจเป็นเพราะปลาสายพันธุ์นี้โดยมากมีทรวดทรง
ที่ไม่สวยงามเท่าปลาทองหัวสิงห์สายพันธุ์อื่นขณะเดียวกันเป็นปลาที่แพร่พันธุ์ได้ยาก และปลาที่เพาะ
พันธุ์ได้โดยมากเป็นปลาพิการเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงทำให้ปลาชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการในหมู่นัก
เพาะพันธุ์ปลาระดับมืออาชีพ เนื่องจากเพาะแล้วไม่ค่อยคุ้ม
   * พวกที่ไม่มีครีบหลัง มีรูปร่างกลมและไม่มีครีบหลังปลาทองในกลุ่มนี้จะว่ายน้ำได้ไม่ดี เทียบเท่า
กับกลุ่มที่มีครีบหลังได้แก่
    + ปลาทองหัวสิงห์จีน (Chinese lion head)
      จีนเป็นประเทศแรกที่เพาะพันธุ์ปลาทองสายพันธุ์นี้    ชาวตะวันตกเรียกปลาทองสายพันธุ์นี้ว่า
Lionhead ในประเทศไทยเรียกว่า ปลาทองหัวสิงห์จีน  (Chinese lionhead)   ลักษณะโดย
ทั่วไปจะมองคล้ายสิงห์ญี่ปุ่นแต่ลำตัวค่อนข้างยาวไม่สั้นกลมอย่างสิงห์ญี่ปุ่น และส่วนหลังก็จะโค้ง
น้อยกว่าสิงห์ญี่ปุ่น หางใหญ่ยาวกว่าวุ้นบนหัวจะมีเยอะกว่าสิงห์ญี่ปุ่น วุ้นขึ้นปกคลุมส่วนหัวทั้งหมด
และวุ้นที่ดีจะต้องมีลักษณะเป็นเม็ดละเอียด สีลำตัวและครีบ มักจะมีสีอ่อนกว่าสิงห์ญี่ปุ่น เมื่อโตเต็ม
ที่มีขนาดเฉลี่ยประมาณ 15 เซนติเมตร แต่ก็เคยพบบางตัวมีขนาดใหญ่ถึง 25 เซนติเมตร อายุเฉลี่ย
ประมาณ 5-7 ปี
    + ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น (Ranchu หรือ Japanese lion head)
      เป็นปลาทองที่คัดพันธุ์ได้ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นเรียก Ranchu เป็นปลาทองพันธุ์ที่ได้รับ
ความต้องการมากที่สุด ในบรรดาปลาทองหัวสิงห์ ทั้งหมด ราคาค่อนข้างสูง ลักษณะที่ดีของปลาทอง
พันธุ์นี้คือ ลำตัวสั้นค่อนข้างกลม ถ้ามองจากด้านบนท้องทั้งสองด้านจะต้องป่องออกเท่ากัน สันหลัง
โค้งเรียบเป็นรูปไข่ ไม่มีรอยหยักขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีครีบหลัง     ครีบทุกครีบสั้น ครีบคู่ทุกครีบต้องมี
ขนาดเท่ากัน และอยู่ในทิศทางเดียวกัน (ขนานกัน) ครีบหางสั้นและตั้งแข็งแผ่กว้าง วุ้นจะต้องขึ้น
ทั่วทั้งหัว เช่น บริเวณรอบปาก รอบดวงตาและใต้คาง โดยเฉพาะวุ้นใต้คางควรจะมีมากเป็นพิเศษ
จนมองดูจากด้านบนหัวจะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ขณะว่ายน้ำต้องทรงตัวได้ดีและว่ายน้ำใน
ลักษณะหัวก้มต่ำเล็กน้อย สีของปลาทองพันธุ์นี้มีหลายสี เช่น แดง แดงและขาว ส้ม ดำ ขาว และ
ห้าสี สีแดงเป็นสีที่ได้รับความต้องการมาก ปลาชนิดนี้ค่อนข้างอ่อนแอเลี้ยงยาก เนื่องจากการผสมเลือด
ชิด (inbreed) ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 20-25 เซนติเมตร
     + ปลาทองหัวสิงห์ลูกผสม (Hybrid lionhead, Ranchu x Chinese lionhead)
       ปลาทองสายพันธุ์นี้เป็นลูกผสมเพาะพันธุ์ได้ในประเทศไทย    ซึ่งนำจุดเด่นของปลาทองหัว
สิงห์จีนและสิงห์ญี่ปุ่นมารวมกันไว้ในปลาตัวเดียวกัน สาเหตุของการผสมข้ามพันธุ์ เนื่องมาจาก
ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น จะผสมพันธุ์ได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการนำปลาทองหัวสิงห์จีนมาผสมด้วย
จะช่วยให้ปลาแพร่พันธุ์ได้ง่ายและได้จำนวนลูกปลาเพิ่มมากขึ้น ลักษณะเด่นของปลาทองหัวสิงห์
ลูกผสมคือ วุ้นบนหัวของปลาจะมีขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่เท่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่ใหญ่กว่า
ปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น หลังโค้งมนเยอะกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน แต่ไม่โค้งและสั้นเท่าปลาทอง
หัวสิงห์ญี่ปุ่น      ครีบหางสั้นกว่าปลาทองหัวสิงห์จีน     แต่จะยาวกว่าปลาทองหัวสิงห์ญี่ปุ่น
     + ปลาทองพันธุ์สิงห์ตามิดหรือสิงห์สยาม (Siamese lionhead)
      เป็นปลาที่คัดพันธุ์ได้ในประเทศไทย ลักษณะลำตัวทั่ว ๆ ไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่นแต่หัวมีวุ้นเยอะกว่า
วุ้นจะขึ้นคลุมทุก ๆ ส่วนบนหัวแม้กระทั่งส่วนของตาจะมองไม่เห็นเลยจึงทำให้ได้ชื่อว่าสิงห์ตามิด
ครีบหางมีขนาดใหญ่กว่าสิงห์ญี่ปุ่นเล็กน้อย ทุกส่วนของลำตัวต้องดำสนิท
     + ปลาทองพันธุ์ตากลับ (Celestial goldfish)
    ปลาทองพันธุ์หัวสิงห์ตากลับ เป็นปลาทองที่มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศจีน ชาวจีนเรียกว่าโชเตนงัน
(Chotengan) ซึ่งมีความหมายว่า ปลาตาดูฟ้าดูดาว หรือตามุ่งสวรรค์ ญี่ปุ่นเรียกปลาชนิดนี้ว่า
เดเมรันชู (Deme- ranchu) ลักษณะเด่นคือ มีตาหงายกลับขึ้นข้างบน ผิดจากปลาทองชนิดอื่น ๆ
ตาใหญ่สดใสทั้งสองข้าง ส่วนหัวไม่มีวุ้นหรือมีเคลือบเล็กน้อย ไม่มีครีบหลัง ลำตัวยาว หลังตรง
หรือโค้งลาดเล็กน้อย ครีบหางยาว
      + ปลาทองพันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble eyes goldfish)
    มีลักษณะลำตัวคล้ายพันธุ์หัวสิงห์แต่ค่อนข้างยาวกว่า ไม่มีครีบหลัง ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้คือ
บริเวณใต้ตาจะมีถุงโป่งออกมาลักษณะคล้ายลูกโป่ง    และถือกันว่าถุงลูกโป่งยิ่งมีขนาดใหญ่ยิ่งเป็น
ลักษณะที่ดี และถุงทั้งสองข้างจะต้องมีขนาดเท่ากัน     ปลาพันธุ์นี้ที่พบมากมีสีแดง ส้ม หรือสีผสม
ระหว่างสีแดงและสีขาว หรือส้มและขาว   จัดเป็นปลาที่เลี้ยงยากและเพาะพันธุ์ได้ยาก ขนาดโตเต็ม
ที่ยาวประมาณ 20-25 เซนติเมตร

การเลี้ยงปลาทองเสริมบาร
ช่วงนี้ กำลังบ้าเรื่องฮวงจุ้ย ก็เลยเอามาฝากนักการเลี้ยงปลาทองครับ

หลักการเลี้ยงปลาทองตามฮวงจุ้ย

ในสมัยก่อนที่ประเทศจีนคนที่จะเลี้ยงปลาทองได้นั้นจะต้องเป็นเชื้อพระวงศ์,ขุน นาง,พ่อค้าหรือเศรษฐีเพราะปลาทองสมัยนั้นมีราคาแพงมากซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถหาซื้อ มาเลี้ยงได้และการเลี้ยงปลาทองนั้นสามารถบ่งบอกถึงฐานะได้ว่าเป็นอย่างไร

ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าบ้านเรือนใดเลี้ยงปลาทองอยู่ในบ้านจะเปรียบเสมือนมี ทองอยู่ในบ้านเลยทีเดียวและจะนำความร่มเย็น,โชคลาภ,อำนาจและบารมีมาให้แก่ผู้ที่การเลี้ยงปลาทอง

โดยดังจะกล่าวได้ว่าน้ำคือความร่มเย็นเป็นสุขและการไหลเวียนของน้ำคือการทำ ให้การค้าราบรื่นสุดท้ายคือปลาทองจะนำความมั่งคั่งมาสู่คนเลี้ยง สรุปได้ว่าผู้ใดการเลี้ยงปลาทองไว้ในบ้านจะนำความร่มเย็นเป็นสุขและทำมาค้าขายขึ้น เงินทองไหลมาเทมา อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในที่นี้จะกล่าวถึงการเลี้ยงปลาทองเพื่อเสริมบารมีตามหลักฮวงจุ้ย ดังต่อไปนี้.

การเลี้ยงปลาทองเสริมบารมีจะมีปัจจัยอยู่ 4 ข้อ

1. ลักษณะของตู้ปลา
2.จำนวนปลาที่เลี้ยง
3.สีของปลาที่เลี้ยง
4.ลักษณะของปลาที่เลี้ยง

1. ลักษณะของตู้ปลา

ตู้ปลาลักษณะกลมมน สังกัดธาตุน้ำ ช่วยเสริมพลังของน้ำ ถือว่าเป็นมงคล แก่ชีวิต
ตู้ปลาลักษณะสี่เหลี่ยมยาวๆ สังกัดธาตุไม้ น้ำให้กำเนิดไม้ช่วยให้ไม้เจริญถือได้ว่าเป็นมงคล
ตู้ปลาลักษณะสี่เหลี่ยมลูกบาศก์จัตตุรัส สังกัดธาตุดิน ดินข่มน้ำ จึงไม่ควรใช้[การเลี้ยงปลาทอง]
ตู้ปลารูปหกเหลี่ยม เลขหกเป็นธาตุน้ำ แต่มีหลายเหลี่ยมถือว่าสังกัดธาตุไฟ จึงไม่ควรใช้เพื่อนำโชค
ตู้ปลารูปสามเหลี่ยมหรือแปดเหลี่ยม สังกัดธาตุไฟ จึงไม่ควรใช้

2. จำนวนปลาที่เลี้ยง

คนส่วนมากเข้าใจกันว่าการเลี้ยงปลาทองควรจะเลี้ยงเป็นเลขคี่จึงจะเป็นมงคลต่อชีวิต เช่น หนึ่ง,สาม,ห้า,เจ็ด,เก้า เป็นต้น ถ้าเป็นคู่จะไม่เป็นมงคล เช่น สอง,สี่,หก,แปด,สิบ เป็นต้น ในทางฮวงจุ้ยจะต้องนำจำนวนปลามาเทียบกับแผนภูมิลั่วซูหรือเหอถู จะช่วยให้ได้ผลที่แน่นอน.ตัวเลขจำนวนปลาทองเมื่อเทียบกับแผนภูมิลั่วซู
หนึ่งตัว เลขหนึ่งสีขาวดาวทันหลัง เป็นดาวมงคลช่วยนำโชค
สองตัว เลขสองสีดำดาวจวี้เหมิน เป็นดาวอัปมงคล ทำลายโชค
สามตัว เลขสามสีเขียวมรกตดาวลู่ฉุน เป็นดาวอัปมงคลทำลายโชค
สี่ตัว เลขสี่สีเขียวขี้ม้าดาวเหวินฉวี่ เป็นดาวมงคลช่วยนำโชค
ห้าตัว เลขห้าสีเหลืองดาวเหลียนเจิน เป็นดาวอัปมงคลทำลายโชค
หกตัว เลขหกสีขาวดาวอู๋ฉวี่ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
เจ็ดตัว เลขเจ็ดสีแดงดาวพ่อจวิน เป็นดาวอัปมงคล ทำลายโชค
แปดตัว เลขแปดสีขาวดาวจั๋วฝู่ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
เก้าตัว เลขเก้าสีครามดาวอิ้วปี้ เป็นดาวมงคล ช่วยนำโชค
ส่วนสิบตัวนั้นจะนับเป็นหนึ่งตัว สิบเอ็ดตัวจะนับเป็นสองตัว ไปเรื่อยๆตามหลักข้างต้น.
การเลี้ยงปลาทองเพื่อโชคลาภนี้เป็นแค่เพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น

การเลือกดูปลา ว่าปลาป่วยปลาไม่ป่วยดูยังไง สำหรับการเลี้ยงปลาทอง

ก่อนอื่น อันนี้กฏตายตัวใช้ได้สำหรับการเลี้ยงปลาทองทุกร้าน

1. ร้านไหนมีตู้ปลาป่วยและตายคาตู้ ควรเลี่ยงเลยนะครับ ไม่ควรซื้อ เพราะ ถ้าปลาเป็นโรคป่วยหรือตายคาตู้ ปลาในตู้ก็น่าจะติดเชื้อหรือเป็นโรคกันทั้งหมดตู้ ถ้า เราซื้อมา ขึ้นอยู่ว่าปลาจะมีอาการป่วยหรือตาย ช้าหรือเร็ว ขึ้นอยู่กับเวลาออกอาการของโรคที่มากับปลาครับ การเลี้ยงปลาเบื้องต้น
2. หาร้านที่ปลามีการแยกที่อยู่เป็น สัดส่วนนะครับ เพราะว่าเราไม่รู้ได้ว่า ร้านขายไปเอาปลามาจากไหนกันบ้าง ถ้าแยกเป็นสัดส่วน เราจะได้หาสาเหตุถูก ว่าปลาป่วยเป็นอะไรหรือป่าว เราจะได้ไม่ต้องไปพลิกตำรา เสียเวลามารักษาปลา และจะได้ไม่ต้องมาเสี่ยงเรื่องปลาตายและเสียดายเงินด้วยครับ
เอาล่ะ เวลาระทึกใจมาถึงแล้ววววว

กฏต่อไปนี้ ใช้ได้กับร้านที่เค้าจับปลาให้เราดู (ห้ามจับปลาเองโดยเด็ดขาด)

1. กรณี ที่เป็นลูกแบล็ค (ปลายังไม่ลอกไซร์ ไม่เกิน 1 1/2 นิ้ว) ให้ดูการว่ายน้ำถ้าอยากรู้ว่าป่วยไม่ป่วยเอาเลยครับ เคาะกาละะมัง หรือภาชนะที่เขาใส่มาให้เราดู เคาะเบาๆเอาพอปลาตกใจเท่านั้นนะครับ ดูสมดุลการว่าย มีปายซ้ายชวาหรือป่าว มีพุ่งขึ้นขอบภาชนะไหม แล้วดูเลยปลาหายตกใจ...ว่าปลายืนน้ำแบบไหน
2. ดูที่แผ่นปิดเหงือก ถ้าแผ่นปิดเหงือก เปิด อ้าอ้า ก็อย่าไปเอาเลยครับ ไม่เกิน 3 วัน ไปแน่ๆครับ ลงท่อ
3. ดูรอยขีด ข่วน รอบๆตัวปลา จะได้เรียกประกันมาเคลมถูก เอ้ย ไม่ใช่ จะได้ไม่เอา เพราะโอกาสติดเชื้อตามมามีสูง.....ถึงคนขายจะว่า 2-3 วันก็ขึ้นใหม่ก็เถอะนะ
4. สังเกตดูที่ของเสีย ที่ปลาถ่ายออกมา สิ่งนี้จะฟ้องว่าปลา ป่วย ไม่ป่วย เกิน 70% ถ้าปลาไม่ป่วย สุขภาพดี พอสมควร ขี้ปลาจะเป็นสีดำสาย ยาวๆ ถ้าปลาป่วย จะเป็นเมือก ใสๆ (อันนี้สังเกตไปพักใหญ่ๆเลยกว่าจะได้ ทริคนี้มา)
5. อันนี้ถ้าสายตาของเพื่อนๆดีล่ะก็ ลองกันครับ ดูที่รอยต่อเกล็ด ถ้าเป็นปลายังไม่ลอกจะจัดหน่อย มันจะมีจ้ำแดงโผล่ออกมา เหมือนอาการเริ่มแรกของตกเลือดแต่มันหนักกว่านั้น เพราะ ที่เจอมากะตัวเลย เป็น 4 ตัว ตายเรียบ.....ก็ไม่เชื่อก็ให้ประสบการณ์ + เงินของเพื่อนลองดูครับ ... รับประกัน ไม่ตายก็กว่าจะหายป่วยก็เครียดล่ะครับงานนี้

ข้อสำคัญ สำหรับการไปเลือกปลาที่ร้านหรือ ที่ฟาร์ม นะครับ

อย่า เอามือของเพื่อนๆไปจับปลาในร้านหรือฟาร์มนะครับควรบอกเจ้าของร้านหรือคนขาย มาตักให้ดู เพราะมือของท่านอาจจะมีเชื้อโรค อาจทำให้ปลาที่ร้านหรือที่ฟาร์มป่วยได้ นอกจากท่านได้ล้างมือและคนขายต้องอนุญาตให้ตักหรือจับได้ครับ
โชคดีมีปลาสวยครอบครองกันเยอะๆๆ ไปแล้วครับ ขอบคุณมากครับ ข้อมูลจาก หมูสาย2 การเลี้ยงปลาเบื้องต้นก็มีแค่นี้แหละครับไม่มีอะไรยุ่งยากเลยยังไหงก็ลองเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อนคลายเหงานะครับ


ทำไมปลาทองตัวที่ซื้อมาถึงตายเร็วจัง -เอาหล่ะครับก่อนอื่น
1.การเตรียมน้ำในภาชนะ(อ่าง,ตู้)ก่อนที่จะเลี้ยงปลา
น้ำประปาที่เพื่อนๆจะเอามาใช้ ต้องเป็นน้ำที่ผ่านการพักน้ำประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้คลอรีนสลายก่อน หรือผ่านการกรองคลอรีนเพื่อสลายคลอรีนมาแล้ว ทำไมต้องน้ำประปา (น้ำประปาดีที่สุดเพราะผ่านการฆ่าเชื้อจากคลอรีนมาแล้ว)
2.การปรับอุณหภูมิน้ำและค่าPHของน้ำในถุงปลาที่ซื้อมาจากร้าน กับน้ำที่เตรียมไว้ในภาชนะ(อ่าง,ตู้)ที่บ้าน
เอาถุงปลาที่ซื้อมา มาล้างถุงและก้นถุงให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าก่อน จากนั้นให้แช่ถุงปลา ลงไปในอ่างหรือตู้ที่เตรียมไว้เลี้ยงปลาทั้งถุง ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที(ถ้าเป็นหน้าหนาว ให้นานกว่านี้หน่อยเพื่อให้อุณหภูมิของน้ำในถุงปลากับอุณหภูมิของน้ำในอ่างหรือตู้เท่ากัน) เมื่อปลาปรับสภาพได้ แล้วก็ให้เปิดปากถุง และลอยถุงปลาต่อไปอีกประมาณ 20 นาที และให้ใส่อ๊อกฯในถุงปลาที่ลอยด้วย หลังจากนั้นตักน้ำในอ่างหรือตู้ ที่ลอยถุงปลาอยู่ใส่ลงไปในถุงปลาทีละน้อย ให้ปลาปรับสภาพกับน้ำใหม่ที่เตรียมไว้ แล้วก็ จากนั้นค่อยๆเอียงถุงปลา ปล่อยปลาลงน้ำ ที่เตรียมไว้ หรือให้ใช้มือจับเฉพาะตัวปลาลงไปในอ่าง(ในกรณีที่ซื้อปลามาจากที่ไกลๆเหตุที่ไม่เทน้ำในถุงลงไปในอ่างด้วยเพราะน้ำในถุงมีเมือกปลาที่ขับเมือกในขณะเดินทาง การจับปลาในถุงลงในอ่างปลาควรล้างมือให้สะอาดก่อน และแช่มือลงในอ่างซักครู่พอให้มือมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน ก่อนจะจับปลาในถุงลงมาในอ่างนะครับ) จากนั้นแล้ว ก็ใส่เกลือลงไปสักหน่อย ให้ปลาสดชื่น และช่วยลดความเครียดให้ปลา โดยใส่เกลือ 0.3 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร (ถ้าหน้าหนาวอาจจะปรับเปลี่ยนวิธีได้นะครับ)
แล้วก็ ที่สำคัญควรอดอาหารปลาประมาณ 3 วัน ห้ามให้อาหารเด็ดขาด.......สำคัญมากครับเรื่องนี้(การอดอาหารเพื่อให้ปลาได้พักผ่อนจากการเดินทางไกล จากการปรับสภาพกับน้ำ,สถานที่ใหม่ ให้ปลาแข็งแรง แล้วค่อยให้อาหาร) และ การซื้อปลามาใหม่ไม่ควรนำปลาที่ซื้อมาใหม่ไปเลี้ยงรวมกับปลาเก่าทันที.......ห้ามโดยเด็ดขาด ควรเลี้ยงกักไว้ในอ่างใหม่เพื่อป้องกันการตาย(ป้องกันการติดเชื้อโรคจากปลาใหม่ด้วย) ให้สังเกตดูปลาที่ซื้อมาใหม่ที่กักไว้ด้วยว่า มีอาการผิดปกติ มีอาการปลาซึมๆ มีรอยแดง มีสิ่งแปลกปลอมเกาะติดมากับปลาด้วยหรือป่าว หรือเป็นโรคอะไรหรือป่าว ถ้ามีให้รักษาตามอาการให้หาย และให้ปลาแข็งแรงก่อน ถึงควรจะให้อาหารและนำปลาใหม่ไปรวมกับปลาเก่าได้
ขอให้ประสบความเร็จ มีปลาสวยไว้ในครอบครอง

บทความที่ใหม่กว่า หน้าแรก