foodสำหรับการเลี้ยงปลาทอง
foodธรรมชาติ ถึงแม้ปลาทองจะเป็นปลาที่กินได้ทั้งพืชและสัตว์เป็นfood (Omnivorous)
แต่ในธรรมชาติชอบกินfoodพวกลูกน้ำ ไรแดง (Moina) ไรสีน้ำตาล (Artemia) หนอนแดง และ
ไส้เดือนน้ำ foodมีชีวิตเหล่านี้มีคุณค่าทางfoodสูงทำให้ปลาโตเร็วมีความสมบูรณ์ทางเพศดี
เหมาะสมต่อการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง โดยให้วันละ 2-3 ครั้ง foodธรรมชาติจะให้ในสภาพ
ที่มีชีวิตหรือตายแล้วก็ได้ หากเป็นfoodที่ตายแล้วต้องให้ปริมาณที่พอเหมาะ ถ้ามีfoodเหลือต้อง
รีบดูดทิ้งทันที เนื่องจากfoodที่เหลือจะทำให้น้ำเน่าเสียและเกิดโรคได้
ปัจจุบันเกษตรกรในจังหวัดนครปฐมและราชบุรีได้เพาะการเลี้ยงปลาทองโดยใช้หนอนแมลงวันหรือ
หนอนขี้หมูขาว ซึ่งเกิดในบริเวณเล้าหมู เรียกว่า หนอนขี้หมู นำมาเลี้ยงปลาใช้เป็นfoodสำหรับการเลี้ยงปลาทอง
ขนาดอายุ 1-2 เดือนขึ้นไป แต่ในการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาควรระวังอย่าให้กินหนอนขี้หมูมาก เพราะ
จะทำให้ปลาอ้วนเกินไปซึ่งมีผลทำให้ปริมาณไข่ที่ออกน้อย
ข้อควรระวัง ก่อนนำหนอนขี้หมูมาเป็นfoodจะต้องนำมาล้างน้ำให้สะอาดและแช่ด่างทับทิมใน
อัตราส่วน 2-3 กรัม/น้ำ 1,000 ลิตร หรือต้มเพื่อป้องกันเชื้อโรค

ผลดีของfoodมีชีวิต
+ สัตว์น้ำจะมีเอนไซม์ช่วยย่อย ซึ่งสัตว์น้ำสามารถย่อยและกินได้ตลอดเวลา
+ foodมีชีวิตมีองค์ประกอบของกรดอะมิโนอิสระที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความเจริญเติบโต
+ มีสารสีต่าง ๆ (Pigment) ตามธรรมชาติ ช่วยในการป้องกันและสร้างภูมิต้านทานโรคซึ่งปลา
ไม่สามารถสังเคราะห์เองตามธรรมชาติ
+ มีราคาต่ำเมื่อเทียบกับfoodเม็ดสำเร็จรูป

foodสำเร็จรูป ได้แก่ foodเม็ดขนาดเล็กเป็นfoodที่เหมาะสำหรับการการเลี้ยงปลาทอง และ
ควรเลือกfoodที่มีเปอร์เซ็นต์โปรตีนสูงจะทำให้ปลาเจริญเติบโตดีและมีสีสันสวยงามโดยทั่วไป
ส่วนประกอบของfoodสำเร็จรูปควรประกอบด้วย โปรตีน 40เปอร์เซน คาร์โบไฮเดรต 44เปอร์เซน ไขมัน
10เปอร์เซน วิตามินและแร่ธาตุ 6เปอร์เซน
ส่วนประกอบของfoodที่มีปริมาณโปรตีนต่ำจะทำให้ปลาโตช้าหรือชะงักการเจริญเติบโต
และมีความสมบูรณ์ทางเพศน้อยหรือถ้าfoodมีปริมาณโปรตีนมากเกินไป ปลาก็จะขับถ่ายของเสีย
ออกมามากทำให้น้ำมีปริมาณแอมโมเนียสูงซึ่งเป็นพิษต่อปลา
: ลูกปลาขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 1 นิ้ว) มีความต้องการโปรตีน ประมาณ 60 - 80เปอร์เซน เพื่อการเจริญเติบโต
: ปลาวัยรุ่นจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 40 - 60เปอร์เซน เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ทางเพศทำให้
ไข่พัฒนา
: ปลาเต็มวัยจะมีความต้องการโปรตีนประมาณ 30 - 40เปอร์เซน
การให้food ควรให้วันละ 3 -5 เปอร์เซน ของน้ำหนักปลา เช่น ปลาทั้งหมด น้ำหนัก 500 กรัม จะให้
foodเม็ดวันละ 15 - 25 กรัม โดยแบ่งให้เช้าเย็นหรือจะใช้foodผสมแทน โดยใช้foodที่มีส่วน
ผสมของปลาป่น รำละเอียด กากถั่วป่น วิตามินและแร่ธาตุซึ่งกำหนดให้มีปริมาณโปรตีนไม่ต่ำกว่า40เปอร์เซน
foodสำเร็จรูปมีข้อดีกว่าfoodธรรมชาติหลายประการได้แก่ สามารถควบคุมคุณภาพให้เป็นไป
ตามมาตรฐาน ความสม่ำเสมอและความคงทนในขณะที่ละลายน้ำ แต่foodสำเร็จรูปจะทำให้น้ำ
เสียง่าย ขนาดของfoodสำเร็จรูปสามารถปรับให้เข้ากับการเจริญเติบโตของลูกปลา เมื่อปลามี
ขนาดใหญ่สามารถ ปรับขนาดได้ ขนาด วัสดุfoodและกลิ่นของfoodเป็นปัจจัยสำคัญในการทำ
food

วิธีการให้foodสำเร็จรูปมีข้อควรพิจารณาในการให้food ดังนี้
+ ปริมาณfoodที่ให้ ไม่มากเกินไป ปลาควรกินหมดภายใน 15 นาที
+ ความถี่ หลักการให้foodควรจะให้ปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้งทั้งนี้ควรให้วันละ 2 -3 ครั้งถ้า
เลี้ยงด้วยfoodสำเร็จรูปควรมีการเสริมfoodมีชีวิต
+ การยอมรับfood บางครั้งพบว่า ปลาไม่ยอมรับfoodที่ไม่เคยกินมาก่อน จึงจำเป็นต้องฝึกให้กิน
โดยอาจต้องให้ปลาอดfood 1 - 2 วัน และลองให้กินfoodใหม่อีกครั้ง แล้วสังเกตว่าปลายอมกิน
foodหรือไม่
+ การเลือกชนิดและปริมาณของfood ควรต้องคำนึงถึงระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำในบ่อเลี้ยง
+ foodเร่งสี สีของตัวปลาเกิดจากการทำงานของเซลล์ผิวหนังซึ่งมีเม็ดสีอยู่ภายใน เม็ดสีที่อยู่ใน
ชั้นของผิวหนังสีแดงหรือสีเหลืองของปลาทองเป็นสีของคาร์โรทินอยล์ชนิดแอสทาแซนธิน
(Astaxanthin) คือถ้าในเซลล์ผิวหนังมีคาร์โรทินอยล์มากเท่าไร ย่อมทำให้ปลามีสีสดขึ้น
ดังนั้นในปัจจุบันจะมีการใช้สารเร่งสี (แอสทาแซนธิน) ให้ปลากินเพื่อให้ปลามีลำตัวสีแดง และ
มีการใช้สไปรูไรน่า (Spirulina) ผสมกับfoodเลี้ยงปลาเพื่อเพิ่มความเข้มของสีแดง ส้ม หรือสี
เหลือง ในตัวปลา ปกติfoodสำเร็จรูปส่วนมากจะมีสไปรูไรน่าผสมอยู่ในอัตราส่วนไม่เกิน 10เปอร์เซน
foodที่ผสมสารเร่งสีจะใช้เลี้ยงปลาที่มีอายุประมาณ 3 สัปดาห์ โดยให้กินในมื้อเช้า ส่วนมื้อเย็น
จะให้กินfoodมีชีวิต ในกรณีที่การเลี้ยงปลาทองในบริเวณที่มีแสงแดดเพียงพอไม่จำเป็นต้องให้
foodเร่งสี

0 ความคิดเห็น:

บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก